10 วิธีปกป้องผู้สูงอายุจากการหกล้ม

การหกล้มของผู้สูงอายุ อาจนำไปสู่การบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตปกติของผู้สูงอายุ

ในความเป็นจริง การล้มเป็นสาเหตุการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ แม้จะไม่มีวิธีที่จะรับประกันได้ว่าผู้สูงอายุจะไม่ล้ม แต่มีข้อควรระวังทีใช้ในบ้านและนอกบ้านเพื่อช่วยปกป้องผู้สูงอายุจากการหกล้ม

และนี่คือ 10 เรื่องควรระวังเพื่อป้องกันคนที่คุณรักจากการหกล้ม

1. ทำให้พื้นเรียบร้อย
การหกล้มส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่บ้าน และหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการป้องกันจากการล้มในบ้าน คือการกำจัดสิ่งกีดขวางบนพื้น เช่นของเล่น เสื้อผ้า หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ เช่นไม้กวาดหรือเครื่องดูดฝุ่น

เก็บของให้พ้นจากพื้น โดยวางไว้ในที่ของมัน สายไฟ เชือก หรือสิ่งอื่นที่มีลักษณะเป็นเส้น อาจทำให้เกิดการสะดุดหกล้ม เมื่อจำเป็นต้องเดินสายไฟหรือสายโทรศัพท์ไปตามพื้น ให้ใช้เทปกาวหรืออุปกรณ์ยึดสายเหล่านี้ให้แนบติดพื้น ถ้าจะให้ดี ลองเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ไร้สายและอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆแทนก็จะช่วยได้มาก

รักษาบันไดและทางเดินให้เรียบร้อย ปราศจากสิ่งกีดขวาง

หลีกเลี่ยงการให้ผู้สูงอายุอยู่ในบ้านที่มีบันไดหรือต้องขึ้นลงบันได

เลิกใช้พรมปูพื้นผืนเล็ก เนื่องจากมักเป็นสาเหตุของการสะดุดและล้ม หากจำเป็นต้องใช้ ให้ใช้พรมผืนเรียบหรือพรมขนสั้น และยึดขอบด้วยตะปูหรือกาวให้แน่น

ขจัดสิ่งกีดขวางทางเดิน

เก็บของใช้ประจำวันให้เป็นที่ทางของมัน เข้าถึงได้ง่าย จัดหาเครื่องช่วยหยิบจับ เพื่อที่ผู้สูงอายุจะไม่ต้องก้มเพื่อหยิบของ ซึ่งมักเป็นสาเหตุของอาการวิงเวียนศีรษะและหกล้มในผู้สูงอายุ

2. ติดตั้งหลอดไฟในห้องให้เหมาะสม
การให้แสงที่เหมาะสมในพื้นที่สำคัญสามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง ป้องกันการหกล้มในบ้าน ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีหลอดไฟอย่างน้อยสองหลอดส่องสว่างบริเวณที่สำคัญ และมีสวิตช์ที่ความสูงเพียงพอ ที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งสองด้านของทางเข้าห้อง

หากจะใช้หลอดไฟส่องสว่าง ที่สามารถเปิดโดยอัตโนมัติ เช่นด้วยการตั้งเวลาเปิดในตอนกลางคืน ก็จะช่วยให้มั่นใจว่ามีแสงสว่างส่องทางเดิน เพื่อป้องกันการหกล้มเพราะการมองไม่เห็นทางได้

3. ตรวจสอบเฟอร์นิเจอร์ให้มีความสูงที่เหมาะสม
เฟอร์นิเจอร์ที่สูงหรือต่ำเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเก้าอี้โซฟาและเตียง สามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงและล้มสำหรับผู้สูงอายุ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุสามารถนั่งตัวตรงและให้เท้าของพวกเขาวางราบกับพื้นได้อย่างสบาย และหัวเข่าของพวกเขาจะไม่ล้ำขึ้นมาเหนือสะโพก

หากขาเฟอร์นิเจอร์ยาวเกินไป อาจต้องทำให้สั้นลงหรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หากขาสั้นเกินไปคุณสามารถหาวัสดุค้ำยันเพื่อยกเฟอร์นิเจอร์ให้สูงถึงระดับที่เหมาะสม

4. ติดตั้งราวจับอุปกรณ์กันลื่น
ติดตั้งราวจับไว้ที่อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ชักโครกในห้องน้ำ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในสภาพแวดล้อมที่อาจลื่นล้มได้ง่าย อีกทั้งพื้นยางกันลื่นในห้องน้ำ หรือพื้นที่อื่นที่เสี่ยงต่อการลื่นล้ม อุปกรณ์เหล่านี้สามารถซื้อได้ง่ายจากร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน

ตรวจสอบกับการใช้งานจริงของผู้สูงอายุว่า ราวจับนั้นมีความสูงที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา ให้ท่านทดลองนั่งหรือยืนในพื้นที่ใช้งานจริงเพื่อคำนวณตำแหน่งที่ควรติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือเหล่านี้

5. ใช้ระบบแจ้งเตือน
มี ระบบแจ้งเตือน สำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถแจ้งการหกล้มหรืออุบัติเหตุอื่น ซึ่งมีทั้งประเภทติดตั้งบนผนัง และชนิดสวมใส่ติดตัวได้ เช่น สร้อยคอหรือนาฬิกาข้อมือ ประเภทนี้มีข้อดีที่ไม่ต้องติดตั้งสวิตช์และปุ่มในทุกห้องทั่วบ้าน และอาจยังไม่สามารถเข้าถึงได้หลังจากผู้อาวุโสตกหลุม

6. เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม

รองเท้า ไม้เท้า หรือ วอล์กเกอร์ ที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีเมื่อต้องออกจากบ้าน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวอล์กเกอร์และไม้เท้ามีพื้นยางเพื่อช่วยในการยึดเกาะ ผู้สูงอายุควรสวมรองเท้าส้นยาง หากใช้วอล์คเกอร์อาจใช้ลูกเทนนิสที่สองขาด้านหน้า เพื่อช่วยให้สไลด์วอล์คเกอร์ข้ามพรมได้โดยไม่ติดขัด

7. หลีกเลี่ยงพื้นทางเดินที่มีรอยแตกหรือเป็นหลุมบ่อ

หากมีพื้นที่ที่ทราบว่ามีรอยร้าวจำนวนมากหลุมบ่อหรือพื้นผิวที่ไม่เรียบอื่น ๆ ผู้สูงอายุควรได้รับการแนะนำให้หลีกเลี่ยงบริเวณดังกล่าวจนกว่าจะซ่อมเสร็จ ควรรายงานไปยังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบให้รีบทำการซ่อมแซมโดยเร็ว

หากสวนสาธารณะหรือเส้นทางเดินใกล้เคียงไม่เหมาะกับความปลอดภัยของผู้สูงอายุ ควรหาพื้นที่กลางแจ้งใหม่ที่ปลอดภัย ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายด้วยการเดินเท้าหรือด้วยระบบขนส่งที่มี

8. ออกกำลังกายที่เน้นการสร้างสมดุลของร่างกาย

เช่น ไท้เก๊ก ที่ส่งเสริมความแข็งแรงและความสมดุล มีการกระทบกระแทกต่ำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงของผู้สูงอายุจากการหกล้ม

พยายามออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สามครั้งต่อสัปดาห์

9. รับการตรวจสายตาเป็นประจำ

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางได้อย่างชัดเจน โดยกำหนดตารางนัดเข้ารับการทดสอบสายตาประจำปี ผู้สูงอายุจะต้องได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้แว่นหรือคอนแทคเลนส์มีขนาดที่เหมาะสมกับสายตา

ปัญหาเช่นจอประสาทตาเสื่อม, ต้อกระจกและโรคต้อหินล้วนทำให้การมองเห็นเป็นอุปสรรค ปรึกษาจักษุแพทย์เกี่ยวกับแผนการรักษาระยะยาว จัดการให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนดูแลสุขภาพโดยรวมของผู้สูงอายุ

10. ตรวจสอบการใช้ยา

ยาที่จำเป็นจำนวนมากอาจมีผลข้างเคียงที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น การทรงตัว หรือความแข็งแรง ช่วยดูแลให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุได้รับยาในปริมาณที่เหมาะสมและในเวลาที่เหมาะสมทุกวัน

ให้แพทย์หรือเภสัชกรช่วยทบทวนเมื่อได้รับยาใหม่ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ายาที่ได้ใหม่นี้ สามารถใช้ร่วมกันได้กับยาที่ใช้อยู่

นอกจากนี้อาจใช้อุปกรณ์เช่นแอพพลิเคชั่นเตือนการทานยาร่วมด้วย