วิธีการปรุงอาหาร ในโภชนาการบำบัดแผนจีน

ในการแพทย์แผนจีน  วิธีการปรุงมีบทบาทสำคัญในการดึงคุณค่าของส่วนผสม และส่งเสริมผลการบำบัด วิธีการปรุงที่มักใช้ใประกอบด้วย

นึ่ง

การนึ่งเป็นวิธีการปรุงอาหารที่นุ่มนวลซึ่งช่วยรักษารสชาติ ธรรมชาติ ผิวสัมผัส และสารอาหารของส่วนผสม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับอาหารที่บอบบาง และสมุนไพรจีน  เนื่องจากช่วยรักษาสรรพคุณทางยา การนึ่งยังช่วยให้อาหารถูกย่อยได้ง่าย และมักใช้เป็นอาหารบำรุงและหล่อเลี่ยงร่างกาย

 

การต้ม/ทำซุป

การต้มหรือทำซุปเป็นวิธีการปรุงอาหารทั่วไปในการแพทย์แผนจีน ด้วยการทำให้ส่วนผสมที่เดือดปุดๆ ผ่านความร้อนต่ำเป็นเวลานาน เพื่อให้รสชาติและสารอาหารออกมาอยู่ในน้ำซุป วิธีนี้จะช่วยสกัดสาระสำคัญของส่วนผสม ทำให้ย่อยและดูดซึมได้ง่าย การทำซุปมักใช้ในการแพทย์แผนจีน เพื่อบำรุงสุขภาพโดยรวม และจัดการกับความไม่สมดุลที่เฉพาะเจาะจง

 

ผัด

การผัดเป็นการปรุงส่วนผสมอย่างรวดเร็วโดยใช้ความร้อนสูงโดยใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อย วิธีนี้ช่วยรักษารสชาติและเนื้อสัมผัสตามธรรมชาติของส่วนผสมในขณะที่รักษาสารอาหารไว้ การผัดจะส่งเสริมการไหลเวียนของ พลัง(ชี่) และเพิ่มการย่อยอาหาร นิยมใช้กับผัก เนื้อสัตว์ และอาหารทะเล

 

การตุ๋น

การเคี่ยว คือการปรุงส่วนผสมช้าๆ ในของเหลวโดยใช้ความร้อนต่ำเป็นระยะเวลานาน วิธีนี้จะช่วยสลายเส้นใยที่เหนียวแน่นในเนื้อสัตว์หรือสมุนไพร ทำให้ย่อยได้ง่ายขึ้นและช่วยให้รสชาติต่างๆ เข้ากัน การตุ๋นมักใช้สำหรับกับอาหารบำรุง และการเตรียมสมุนไพร เนื่องจากสามารถดึงคุณสมบัติทางยาออกมาให้ได้มากที่สุด

 

การเคี่ยว/ยาต้ม

การเคี่ยวหรือทำยาต้มเป็นการต้มสมุนไพรหรือส่วนผสมยาเป็นระยะเวลานานเพื่อสกัดสารประกอบที่ออกฤทธิ์ วิธีนี้มักใช้ในการเตรียมยาสมุนไพร และยาบำรุง เนื่องจากช่วยให้สามารถสกัดสรรพคุณทางยาได้อย่างเข้มข้น การเดือดปุดๆ ช่วยปลดปล่อยสารสำคัญของส่วนผสมและช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ง่าย

 

การแช่สมุนไพร

เป็นการแช่สมุนไพรหรือส่วนผสมในของเหลว เช่น น้ำหรือแอลกอฮอล์ เพื่อสกัดคุณสมบัติในการรักษา วิธีนี้มักใช้กับสมุนไพร ผลไม้ หรือถั่วเพื่อเพิ่มผลการรักษา การแช่สมุนไพรยังสามารถใช้เพื่อเตรียมชาสมุนไพร ยาชง หรือทิงเจอร์

 

วิธีการปรุงอาหารแต่ละวิธีในการแพทย์แผนจีน มีประโยชน์เฉพาะตัวและเลือกตามลักษณะของส่วนผสมและผลการรักษาที่ต้องการ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าระยะเวลาการปรุง อุณหภูมิที่ใช้ และการผสมผสานของส่วนผสมต่าง ล้วนมีผลต่อการรักษา

Visitors: 336,324